วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ขั้นตอนการทำขนม

1.ทองหยิบ

   ส่วนประสม
      * ไข่เป็ด 8 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่แดง)
    * น้ำเปล่า 6 ถ้วยตวง
    * น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง
       (เคล็ดลับ : อัตราส่วนมาตรฐานทั่วไป  ส่วน : น้ำตาล 1/2 ส่วน)
  
ขนมหวานไทย : ขนมทองหยิบ       ขนมหวานไทย : ขนมทองหยิบ

วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
      1. ผสมน้ำเปล่าและน้ำตาลทรายลงในกระทะทองเหลือง นำไปตั้งบนไฟอ่อนจนละลายปิดไฟ ทิ้งไว้ให้เย็นนำไปกรองด้วย ผ้าขาวบางหนึ่งครั้ง
    2. นำน้ำเชื่อมที่กรองแล้วไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง กะพอให้น้ำเชื่อมร้อนจัดแต่ไม่ให้เดือดพล่าน
    3. ใส่ไข่แดงลงในถ้วย ตีจนขึ้นฟู เมื่อน้ำเชื่อมร้อนได้ที่ ใช้ช้อนตักไข่แดงที่ตีจนฟู หยอดลงในน้ำเชื่อม ไข่จะแผ่เป็นวงกลม ใช้ช้อนกลับหน้าสักครั้งเพื่อให้สุกทั่วทั้งสองด้าน จากนั้นจึงตักขึ้น
    4. รอจนหายร้อน จึงจับจีบโดยใช้นิ้วมือหยิบ 5 หยิบแล้วใส่ลงในถ้วยตะไลหรือแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้





2.ทองหยอด
  ส่วนประสม
          * ไข่เป็ด 18 ฟอง
       * แป้งทองหยอด 1 ถ้วยตวง (หรือแป้งข้าวเจ้า)
       * น้ำตาลทราย 5 ถ้วยตวง
       * น้ำลอยดอกมะลิ 5 ถ้วยตวง


ขนมหวานไทย : ขนมทองหยอด           ขนมหวานไทย : ขนมทองหยอด

วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
        1. ผสมน้ำลอยดอกไม้กับน้ำตาลทรายลงในกระทะทองเหลือง แล้วนำไปตั้งไฟแรงให้เดือด เคี่ยวทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที จากนั้นจึงแบ่งน้ำเชื่อมส่วนหนึ่งออกมาสำหรับแช่ทองหยอดที่สุกแล้ว
      2. ต่อยไข่ แยกไข่ขาวออก ใช้เฉพาะไข่แดง โดยนำไข่แดงไปกรองในผ้าขาวบางเพื่อรีดเอาเยื่อออก จากนั้นจึงตีไข่แดงให้ขึ้นฟู จากนั้นค่อยๆผสม แป้งทองหยอดลงไปและคนให้แป้งและไข่แดงเข้ากัน
      3. นำไข่แดงที่ผสมแป้งเรียบร้อยไปหยอดในน้ำเชื่อม สำหรับวิธีหยอดนั้นให้ใช้นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ และนิ้วกลาง หยิบส่วนผสมมาเป็นลูกขนาดพอประมาณ แล้วจึงสบัดลงไปในน้ำเชื่อม ทำเช่นนี้จนเต็มกระทะทองเหลือง จากนั้นรอจนทองหยอดสุกจึงตักออกมาพักใส่ในน้ำเชื่อมที่แยกไว้ก่อนหน้านี้ (ทองหยอดที่สุกจะลอยขึ้น)
      4. จัดทองหยอดใส่จานเสริฟเป็นของว่างหรือของทานเล่นในวันพักผ่อนสบายๆ




3.ฝอยทอง

    ส่วนประสม
         * ไข่เป็ด 5 ฟอง
      * ไข่ไก่ 5 ฟอง
      * น้ำตาลทราย 2 1/2 ถ้วยตวง
      * น้ำลอยดอกมะลิ 1 1/2 ถ้วยตวง (หรือน้ำเปล่า)
      * ไข่น้ำค้าง 2 ช้อนโต๊ะ(ไข่ขาวส่วนที่เป็นน้ำใสๆ ที่ติดอยู่กับเปลือกด้านป้าน)
      * น้ำมันพืช 1 ช้อนชา
      * กรวยทองเหลืองหรือกรวยใบตอง (สำหรับโรยไข่ในกระทะ)
      * ไม้แหลม (สำหรับตักและพับฝอยทองในกระทะ)

ขนมหวานไทย : ขนมฝอยทอง          ขนมหวานไทย : ขนมฝอยทอง

วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
      1. ต่อยไข่ไก่และไข่เป็ด เลือกเอาเฉพาะไข่แดง นำออกมากรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อรีดเอาเยื่อออก
    2. ผสมไข่แดง, ไข่น้ำค้างและน้ำมันพืชเข้าด้วยกัน คนจนผสมกันทั่ว
    3. นำน้ำลอยดอกมะลิผสมกับน้ำตาลในกระทะทองเหลืองและนำไปตั้งไฟร้อนปานกลาง รอจนเดือด
    4. นำส่วนผสมไข่แดงใส่ลงไปในกรวยและนำไปโรยในน้ำเชื่อมที่เดือด ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาทีจนไข่สุกจึงใช้ไม้แหลม สอยขึ้นและพับให้เป็นแพตามต้องการ
    5. จัดใส่จาน เสริฟเป็นของว่างทางเล่นในวันสบายๆ


4.ขนมชั้น

     ส่วนประสม
          * แป้งข้าวเจ้า 2 ถ้วยตวง
       * แป้งท้าวยายม่อม 2 ถ้วยตวง
       * น้ำตาลทราย 5 ถ้วยตวง
       * น้ำลอยดอกมะลิ 2 ถ้วยตวง
       * กะทิ 6 ถ้วยตวง
       * น้ำดอกอัญชัญ 2 ช้อนโต๊ะ  (หรือน้ำใบเตยคั้นสด,หรือใช้สีผสมอาหารตามแต่สีที่ต้องการ)

ขนมหวานไทย : ขนมชั้นใบเตย          ขนมหวานไทย : ขนมชั้นใบเตย

วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
      1. นำดอกอัญชันล้างน้ำให้สะอาด นำไปปั่นใส่น้ำแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง เพื่อเตรียมน้ำดอกอัญชัญ กรณีต้องการทำสีเขียวจากใบเตย ก็นำเอาใบเตยไปล้างให้สะอาดและนำไปปั่นใส่น้ำและกรองด้วยผ้าขาวบาง กรณีต้องการสีอื่น อาจใช้สีผสมอาหารแทน
     2. นำน้ำลอยดอกมะลิไปตั้งบนไฟอ่อนๆ ผสมน้ำตาลทรายลงไป คนจนละลายดีเสร็จแล้วทิ้งไว้ให้เย็น
     3. นำแป้งทั้งสองชนิด ผสมกับกะทิ นวดให้เหนียว จากนั้นใส่น้ำลอยดอกมะลิที่ผสมน้ำตาลแล้ว (ขั้นตอนที่ 2) ลงไปผสมให้เข้ากัน
     4. แบ่งแป้งที่ผสมแล้วออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกแบ่งไว้ทำสีขาว และส่วนที่สอง ไว้ทำสีม่วงโดยเติมน้ำดอกอัญชัน (น้ำใบเตยหรือสีผสมอาหาร)ลงไปคนให้เข้ากัน
     5. นำถาดที่ต้องการ (หรือแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้) ใส่บนลังถึงตั้งบนไฟแรง ๆ พอน้ำเดือดเปิดฝา ตักแป้งสีขาวเทใส่ลงในถาดเกลี่ยให้ทั่วถาดบางที่สุด ปิดฝาเพื่อให้สุกประมาณ 5 นาที เปิดดูแป้งจะมีลักษณะใส จากนั้นตักแป้งสีม่วง (หรือสีที่ผสมลงไป) ใส่ลงไป อีก ทำสลับกันจนแป้งหมด (เคล็ดลับ : ควรใช้ภาชนะที่มีความจุเท่ากันในการตวงแป้งเทแต่ละชั้น เพื่อที่จะได้แป้งที่มีความหนาเท่า ๆ กัน)
     6. นึ่งจนขนมสุกทั้งหมด แล้วยกลงทิ้งไว้ให้เย็นประมาณ 2 ชั่วโมงจึงตัดเป็นชิ้นเพื่อเสริฟ (เคล็ดลับ : ก่อนที่จะเทแป้งเพื่อทำชั้นต่อไปทุกครั้ง จะต้องแน่ใจว่าขนมในชั้นล่างนั้นสุกแล้วจริง ๆ ไม่เช่นนั้น แป้งชั้นนั้นจะไม่สุกเลย ถึงแม้จะใช้เวลานึ่งนานเท่าใดก็ตาม)



5.ขนมทองเอก

       ส่วนประสม
            *แป้งสาลีเอนกประสงค์ 1 ถ้วย 
     *แป้งท้าวยายม่อม 2 ช้อนชา 
     *ไข่ไก่ (ใช้เฉพาะไข่แดง) 8 ฟอง 
     *กะทิ (มะพร้าวขูดขาว 200 กรัม) 1 ถ้วย 
     *น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

          

วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
      1.ใส่กะทิกับน้ำตาลลงในกะทะทอง ตั้งไฟกลาง เคี่ยวนานประมาณ 10-15 นาที จนมีลักษณะข้นขาว ยกลง ทิ้งไว้ให้เย็น 
     2.ร่อนแป้งสาลีและแป้งท้าวยายม่อมเข้าด้วยกัน 2 ครั้ง 
นำกะทิกับน้ำตาลาที่เคี่ยวไว้ (ส่วนผสมข้อ 1) ใส่ไข่แดง และแป้งที่ร่อนไว้ คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน 
     3.นำขึ้นกวนไฟอ่อน ๆ จนแป้งรวมตัวเป็นก้อน กวนจนแป้งเนียนใส ยกลง คลุมด้วยผ้าขาวบางทิ้งไว้ให้เย็น 
     4.นำแป้งมาปั้นเป็นก้อนกลมเท่า ๆ กัน อัดลงในพิมพ์รูปต่าง ๆ ตามต้องการ เคาะออก นำมาติดทองคำเปลว


6.ขนมเม็ดขนุน


    ส่วนประสม
          * ถั่วเขียวเลาะเปลือก 450 กรัม
       * น้ำตาลทราย 200 กรัม (สำหรับผสมถั่ว)
       * น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง (สำหรับทำน้ำเชื่อม)
       * น้ำกะทิ 400 กรัม
       * น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง (สำหรับทำน้ำเชื่อม)
       * ไข่เป็ด 5 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่แดง)

ขนมหวานไทย : ขนมเม็ดขนุน          ขนมหวานไทย :  ขนมเม็ดขนุน

วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
       1. นำถั่วเขียวเลาะเปลือกมาทำความสะอาด และแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นจึงนำไปนึ่งให้สุก ใช้เวลาประมาณ 15 นาที)
     2. เมื่อถั่วเขียวสุกดีแล้ว ให้นำไปใส่ในเครื่องปั่นไฟฟ้า พร้อมกับน้ำตาลทรายและน้ำกะทิ ปั่นจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี
     3. จากนั้นจึงเทส่วนผสมลงในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเคลือบเทฟลอนก็ได้)และตั้งบนไฟอ่อนๆ ค่อยๆกวนจนข้นและเหนียว (ใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาที) จึงปิดไฟ และทิ้งไว้ให้เย็น (ถั่วต้องแห้ง มิเช่นนั้นจะไม่สามารถนำไปปั้นได้)
     4. ก่อนปั้นให้นวดส่วนผสมทั้งหมดอีกครั้งจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นจึงปั้นให้เป็นรูปทรงเม็ดขนุน
     5. ทำน้ำเชื่อมโดยผสมน้ำตาลและน้ำเปล่า นำไปเคี่ยวในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเคลือบเทฟลอนก็ได้) จนเหนียวข้นเป็นยางมะตูม จึงปิดไฟ
     6. ตอกไข่และเลือกเอาเฉพาะไข่แดงมารวมกัน เขี่ยพอให้ไข่แดงแตก จากนั้นจึงนำเม็ดขนุนที่ปั้นเตรียมไว้ใส่ลงไปแช่ในไข่แดงทีละเม็ด แล้วจึงนำไปใส่ในน้ำเชื่อม พยายามอย่าให้ติดกัน พอใส่ลงไปมากแล้วจึงนำกระทะไปตั้งบนไฟอ่อนๆจนสุกทั่งจึงตักออกมาพัก ทำซ้ำเช่นนี้จนเม็ดขนุนที่ปั้นไว้หมด
     7. จัดเม็ดขนุนใส่จาน เสริฟทานเป็นของว่างในวันสบายๆ



7.ขนมจ่ามงกุฏ

    ส่วนประสม
         *ไข่ไก่ใช้แต่ไข่แดง 6 ฟอง
       *กะทิ 1 ถ้วย
       *น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
       *แป้งสาลี 1 ถ้วย
       *ทองคำเปลวตัดเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ
    ส่วนผสมถ้วยขนม
       *แป้งสาลี 1 ถ้วย
       *ไข่ไก่ใช้แต่ไข่แดง 3 ฟอง
    ส่วนผสมเมล็ดแตงโม
       *เมล็ดแตงโม 1 ถ้วย
       *น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
       *น้ำสะอาด 1½ ถ้วย

          

วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
      1. วิธีทำถ้วยขนม นวดแป้งกับไข่แดงให้เข้ากันจนนิ่มมือ ใช้ไม้คลึงให้แป้งเป็นแผ่นกลมบางๆ กรุลงในพิมพ์ นำไปอบให้สุกเหลือง
      2. วิธีทำเมล็ดแตงโม ละลายน้ำตาลด้วยน้ำสะอาดลงในกระทะ ตั้งไฟเคี่ยวให้เหนียว พักไว้ให้เย็น ตั้งกระทะไฟอ่อนๆ คั่วเมล็ดแตงโมให้เหลือง ใช้มือจุ่มน้ำเชื่อมสะบัดใส่เมล็ดแตงโม ให้น้ำตาลเกาะเมล็ดแตงโมมีลักษณะเป็นหนามเล็กๆ 
      3.ผสมกะทิกับน้ำตาลทราย ตั้งไฟอ่อนๆ เคี่ยวให้ส่วนผสมข้น ยกลงทิ้งไว้ให้อุ่น ทยอยใส่ไข่แดงลงผสมทีละฟอง คอยคนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียวกัน ร่อนแป้งลงผสม คนให้เข้ากัน นำไปตั้งไฟกวนให้สุกและแห้งไม่ติดมือ ยกลงทิ้งไว้ให้เย็น
      4.ปั้นส่วนผสมที่ได้เป็นรูปกลม ใช้มีดกรีดเบาๆ เป็น 6 พู ลักษณะคล้ายผลมะยม วางลงบนถ้วยขนมที่เตรียมไว้ แต่งด้วยเมล็ดแตงโมโดยรอบ ปั้นส่วนผสมเป็นเม็ดกลมเล็กๆ วางเป็นยอดและปิดทองบนยอด




8.ขนมถ้วยฟู

       ส่วนประสม
     *แป้งข้าวเจ้า                      ถ้วยตวง
     *แป้งท้าวยายม่อม           2  ช้อนโต๊ะ
     *น้ำตาลทรายขาว             ถ้วยตวง
     *น้ำ (ทำน้ำเชื่อม)            1  ถ้วยตวง
     *น้ำลอยดอกมะลิ             1  ถ้วยตวง
     *สีขนมตามชอบ   

          

วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
        1. ผสมน้ำตาลทรายกับน้ำดอกมะลิ แล้วนำไปตั้งไฟให้น้ำตาลละลาย กรองพักไว้ให้เย็น 
       2. ผสมแป้งทั้ง ชนิดเข้าด้วยกัน
       3. เทน้ำเชื่อมที่เย็นแล้วลงในแป้ง ค่อยๆ นวดให้เข้ากัน
       4. ใส่น้ำดอกมะลิลงไปละลายให้เข้ากันดี แล้วแบ่งใส่สีตามชอบ นำไปนึ่งไฟแรง น้ำเดือด  ขนมจะสุกและบุ๋มตรงกลาง พอเย็นแกะออกจากถ้วยตะไล




9.ขนมเสน่ห์จันทร์

         ส่วนประสม
            *แป้งข้าวเหนียว 1/2 ถ้วยตวง
            *แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
            *หัวกะทิ 3 ถ้วยตวง
            *น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
            *ไข่ไก่ 2 ฟอง
            *ผงจันป่น 1/2 ช้อนชา
            *สีผสมอาหารสีเหลือง

          

วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
     1. ผสมแป้งทั้งสองชนิดเข้าด้วยกัน
         2. ผสมหัวกะทิกับน้ำตาล ละลายแล้วกรองผสมแป้งกับกะทิ และผงจันป่นสีเหลือง
         3. ตั้งไฟอ่อน กวนจนจับกัน
         4. ไข่ไก่ใช้แต่ไข่แดง ใส่ขณะแป้งร้อน รีบคนให้เข้ากัน ยกลง
         5. พอขนมอุ่นปั้นได้ ให้ปั้นเป็นรูปผลจัน ตรงขั้วผลใช้น้ำตาลเคี่ยวสีน้ำตาลหยอด 



   


   

ความหมายของขนมแต่ละชนิด

ทองหยิบทองหยิบ
   เป็น ขนมมงคล ชนิดหนึ่ง มี ลักษณะ งดงามคล้าย ดอกไม้สีทอง ต้องใช้
ความสามารถและ ความพิถีพิถัน เป็นอย่างมาก ใน การ ประดิษฐ์ประดอย จับกลีบ
ให้มีความงดงามเหมือนกลีบดอกไม้ ชื่อ ขนมทองหยิบ เป็นชื่อ สิริมงคล
เชื่อว่าหากนำไปใช้ประกอบ พิธีมงคล ต่างๆ หรือให้เป็น ของขวัญ แก่ใครแล้ว จะทำให้เกิด
ความมั่งคั่งร่ำรวย หยิบจับ การงาน สิ่งใดก็จะ ร่ำรวย มีเงินมีทอง สมดังชื่อ "ทองห
ยิบ"
ทองหยอด
ทองหยอด
   ใช้ประกอบใน พิธีมงคล ทั้งหลาย หรือมอบเป็น ของขวัญ ใน โอกาสสำคัญ ๆ แก่ผู้ใหญ่
ที่เคารพรักหรือ ญาติสนิทมิตรสหาย แทน คำอวยพร ให้ ร่ำรวยมีเงินมีทอง ใช้จ่ายอย่าง
ไม่รู้หมดสิ้น ประดุจให้ ทองคำ แก่กัน
ฝอยทอง

ฝอยทอง
    เป็น ขนม ใน ตระกูลทอง ที่มีลักษณะเป็น เส้น นิยมใช้กันในง านมงคลสมรส ถือเคล็ด
 กันว่าห้ามตัดขนม ให้สั้นต้องปล่อยให้เป็น เส้นยาวๆ เพื่อที่ คู่บ่าวสาว จะได้ ครองชีวิตคู่
และ รัก กันได้อย่างยืนยาวตลอดไป
ขนมชั้น
ขนมชั้น
   เป็น ขนมไทย ที่ถือเป็น ขนมมงคล และจะต้อง หยอด ขนมชั้น ให้ได้ 9 ชั้น
 เพราะ คนไทย มีความเชื่อว่าเลข 9 เป็น เลขสิริมงคล หมายถึง ความเจริญก้าวหน้า 
และ ขนมชั้น ก็หมายถึงการได้เลื่อนชั้น เลื่อน ยศถาบรรดาศักดิ์ ให้สูงส่งยิ่งๆ ขึ้นไป
ทองเอก
ขนมทองเอก 
   เป็น ขนม ในตระกูล ทอง อีกชนิดหนึ่งที่ต้องใช้ความ พิถีพิถัน
เ ป็นอย่างยิ่งในทุก ขั้นตอน การทำ มีลักษณะที่ สง่างาม โดดเด่น
กว่า ขนม ตระกูลทอง ชนิดอื่นๆ ตรงที่มี ทองคำเปลว ติดไว้ที่ด้านบนของ
ขนม คำว่า "เอก" หมายความถึง การเป็นที่หนึ่ง การใช้ ขนมทองเอก ประกอบ
พิธีมงคล สำคัญต่างๆ หรือใช้มอบเป็น ของขวัญ ใน งานฉลอง การเลื่อนยศ
เลื่อนตำแหน่ง จึง เปรียบเสมือน คำอวยพร ให้ เป็นที่หนึ่ง ด้วย
เม็ดขนุน
ขนมเม็ดขนุน
     เป็นหนึ่งใน ขนม ตระกูลทองเช่นกัน มี สีเหลืองทอง รูปร่างลักษณะ
คล้ายกับ เม็ดขนุน ข้างในมีไส้ทำด้วย ถั่วเขียวบด มี ความเชื่อ
กันว่า ชื่อของ ขนมเม็ดขนุน จะเป็น สิริมงคล ช่วยให้มีคนสนับสนุน หนุนเนื่อง
ในการดำเนินชีวิตและในหน้าที่การงานหรือ กิจการต่างๆ ที่ได้กระทำอยู่
จ่ามงกุฎ
ขนมจ่ามงกุฎ
    เป็น ขนม ที่ทำยากมี ขั้นตอนใน การทำ สลับซับซ้อน นิยมทำกันเพื่อ
ใช้ประกอบ พิธีการ ที่สำคัญจริงๆ คำว่า "จ่ามงกุฎ" หมายถึง การเป็น หัวหน้าสูงสุด
แสดงถึงความมี เกียรติยศสูงส่ง นิยมใช้เป็น ของขวัญ ใน งานเลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง
ถือเป็น การแสดงความยินดี และ อวยพร ให้มีความก้าวหน้า ในหน้าที่การ งาน ยิ่งๆ ขึ้นไป

ถ้วยฟู
ขนมถ้วยฟู
    ให้ ความหมาย อันเป็น สิริมงคล หมายถึง ความเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟู
นิยมใช้ประกอบใน พิธีมงคล ต่างๆ ทุกงาน เคล็ดลับของการทำ ขนมถ้วย ให้มี
กลิ่นหอม น่ารับประทานนั้น คือการใช้ น้ำดอกไม้ สดเป็น ส่วนผสม และการ
อบร่ำ ด้วย ดอกมะลิ สดในขั้นตอนสุดท้าย
ของ การทำ
เสน่ห์จันทร์
ขนมเสน่ห์จันทน์
    "จันทน์" เป็น ต้นไม้ชนิดหนึ่ง มี ผลสุก สีเหลือง เปล่งปลั่ง
ทั้งสวยงามและมี กลิ่นหอม ชวนให้หลงใหล คน โบราณ จึงนำ ความมีเสน่ห์
ของ ผลจันทน์ มาประยุกต์ทำเป็น ขนม และได้นำ "ผลจันทน์ป่น" มาเป็นส่วนผสม
ทำให้มี กลิ่นหอม เหมือน ผลจันทน์ ให้ชื่อว่า "ขนมเสน่ห์จันทน์" โดยเชื่อว่า
คำว่า เสน่ห์จันทน์ เป็นคำที่มี สิริมงคล จะทำให้มี เสน่ห์ คนรักคนหลง
ดังเสน่ห์ ของ ผลจันทน์ ขนมเสน่ห์จันทน์ จึงถูกนำมาใช้ประกอบในงาน พิธีมงคลสมรส

ขนมไทยมงคล ๙ อย่าง


ขนมมงคล 9 อย่าง 
        "ขนมไทย"เอกลักษณ์ของความเป็นไทย นอกจากจะมีความงดงามวิจิตร ละเอียดอ่อน พิถีพิถันในทุกขั้นตอนการทำแล้ว ยังมีรสชาติที่อร่อย หอมกลิ่นพืชพรรณจากธรรมชาติ และกลิ่นอบร่ำควันเทียน อีกทั้งขนมแต่ละชนิดยังมีชื่อเรียกที่บ่งบอกถึงคุณค่า และแฝงไปด้วยความหมายอันเป็นสิริมงคล
        คำว่า "มงคล" หมายถึง สิ่งที่นำมาซึ่งความดีงามและความเจริญรุ่งเรือง ส่วน "ขนมมงคล" หมายถึง ขนมไทยที่นำไปใช้ประกอบเครื่องคาวหวาน ถวายพระ เลี้ยงแขก ในงานพิธีมงคลต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส งานบวช หรืองานขึ้นบ้านใหม่ เป็นต้น โดยจะต้องเลือกใช้เฉพาะขนมไทยที่มีชื่อไพเราะและเป็นสิริมงคล





วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ประวัติขนมไทย


สมัยสุโขทัย
ขนมไทยมีที่มาคู่กับชนชาติไทย จากประวัติศาสตร์ที่ติดต่อค้าขายกับต่างประเทศคือ จีนและอินเดียในสมัยสุโขทัย มีส่วนช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ด้านอาหาร การกินร่วมไปด้วย
 สมัยอยุธยา
เริ่มมีการเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับต่างประเทศทั้งชาติตะวันออกและตะวันตก ไทยเรายิ่งรับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่างๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่ เครื่องมือเครื่องใช้ วัตถุดิบที่หาได้ ตลอดจนนิสัยการบริโภคของคนไทยเอง จนบางทีคนรุ่นหลังแทบจะแยกไม่ออกเลยว่า อะไรคือขนมไทยแท้ๆ อะไรที่เรายืมเค้ามา เช่น ทองหยิบ ทองหยอดและฝอยทอง หลายท่านอาจคิดว่าเป็นของไทยแท้ๆ แต่ความจริงแล้วมีต้นกำเนิดจากประเทศโปรตุเกส โดย "มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า"
"มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า"เกิดเมื่อ พ.ศ. 2201 หรือ พ.ศ. 2202 แต่บางแห่งก็ว่า พ.ศ. 2209 โดยยึดหลักจากการแต่งงานของเธอที่มีขึ้นในปี พ.ศ. 2225 และขณะนั้น มารี กีมาร์ มีอายุเพียง 16 ปี บิดาชื่อ "ฟานิก (Phanick)" เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นผสมแขกเบงกอล ผู้เคร่งศาสนา ส่วนมารดาชื่อ "อุรสุลา ยามาดา (Ursula Yamada)" ซึ่งมีเชื่อสายญี่ปุ่นผสมโปรตุเกส ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในอยุธยา ภายหลังจากพวกซามูไรชุดแรกจะเดินทางเข้ามาเป็นทหารอาสา ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไม่นานนัก
ชีวิตช่วงหนึ่งของ "ท้าวทองกีบม้า" ได้เข้าไปรับราชการในพระราชวังตำแหน่ง "หัวหน้าห้องเครื่องต้น" ดูแลเครื่องเงินเครื่องทองของหลวง เป็นหัวหน้าเก็บพระภูษาฉลอง
พระองค์ และเก็บผลไม้ของเสวย มีพนักงานอยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นหญิงล้วน จำนวน 2,000 คน ซึ่งเธอก็ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ชื่นชม ยกย่อง มีเงินคืนทอง พระคลังปีละมากๆ ระหว่างที่รับราชการนี่เอง มารี กีมาร์ ได้สอนการทำขนมหวานจำพวก ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง ทองพลุ ทองโปร่ง ขนมผิงและอื่นๆ ให้แก่ผู้ทำงานอยู่กับเธอและสาวๆ เหล่านั้น ได้นำมาถ่ายทอดต่อมายังแต่ละครอบครัวกระจายไปในหมู่คนไทยมาจนปัจจุบันนี้
ถึงแม้ว่า "มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า" จะมีชาติกำเนิดเป็นชาวต่างชาติ แต่เธอก็เกิด เติบโต มีชีวิตอยูในเมืองไทยจวบจนหมดสิ้นอายุขัย นอกจากนั้น ยังได้ทิ้งสิ่งที่เธอค้นคิด ให้เป็นมรดกตกทอดมาสู่คนรุ่นหลัง ได้กล่าวขวัญถึงด้วยความภาคภูมิ "ท้าวทองกีบม้า เจ้าตำรับอาหารไทย"
ขนมจัดเป็นอาหารที่คู่สำรับกับข้าวไทยมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้คำว่าสำรับกับข้าวคาว-หวาน โดยทั่วไปประชาชนจะทำขนมเฉพาะในงานเลี้ยง นับตั้งแต่การทำบุญเลี้ยงพระ งานมงคลและงานพิธีการ อาหารหวานที่จัดเป็นสำรับจะต้องประกอบด้วย ของหวานอย่างน้อย สิ่ง ซึ่งต้องเลือกให้มีรสชาติ สีสัน ชนิด ตลอดจนลักษณะที่ กลมกลืนกัน แต่ละสำรับจะต้องมีผลไม้ 10 ที่ และขนมเป็นน้ำ ที่เสมอ
ประเทศไทยครั้งยังเป็นสยามประเทศได้ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ เช่น จีน อินเดีย มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยโดยส่งเสริมการขายสินค้าซึ่งกันและกัน ตลอดจนแลกเปลี่ยน
วัฒนธรรมด้านอาหารการกินร่วมไปด้วย ต่อมาในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ได้มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ อย่างกว้างขวางไทยได้รับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่าง ๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น วัตถุดิบที่หาได้ เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนการบริโภคนิสัยแบบไทย ๆ จนทำให้คนรุ่นหลัง ๆ แยกไม่ออกว่าอะไรคือขนมที่เป็นไทยแท้ ๆ และอะไรดัดแปลงมาจากวัฒนธรรมของชาติอื่น เช่น ขนมที่ใช้ไข่และขนมที่ต้องเข้าเตาอบ ซึ่งเข้ามาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จากคุณท้าวทองกีบม้าภรรยาเชื้อชาติญี่ปุ่น สัญชาติโปรตุเกสของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ผู้เป็นกงศุลประจำประเทศไทยในสมัยนั้น ไทยมิใช่เพียงรับทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทองมาเท่านั้น หากยังให้ความสำคัญกับขนมเหล่านี้โดยใช้เป็นขนมมงคลอีกด้วย ส่วนใหญ่ตำรับขนมที่ใส่มักเป็น "ของเทศ" เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ทองหยอดจากโปรตุเกส มัสกอดจากสกอตต์
ขนมไทย เป็นเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยอย่างหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดี เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนประณีตในการทำ ตั้งแต่วัตถุดิบ วิธีการทำ ที่กลมกลืน พิถีพิถัน ในเรื่องรสชาติ สีสัน ความสวยงาม กลิ่นหอม รูปลักษณะชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทาน ขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้น ๆ
ขนมไทยที่นิยมทำกันทุก ๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่าง ๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้น ๆ งานสิริมงคล
ต่าง ๆ เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมีฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกัน ยืดยาวมีอายุยืน ขนมชั้น ก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น





วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เว็บไซต์ที่ให้บริการเว็บบล็อก


www.blogger.com                 
www.exteen.com                         
www.mapandy.com
www.buddythai.com            

www.imigg.com                           
www.5iam.com
www.blogprathai.com           

www.ndesignsblog.com           
www.idatablog.com
www.inewblog.com              

www.onblogme.com                  
www.freeseoblogs.com
www.sumhua.com                

www.diaryi.net                             
www.istoreblog.com
www.skypream.com            

www.thailandspace.com          
www.sungson.com
www.gujaba.com                   
www.sabuyblog.com                 
www.ugetblog.com
www.jaideespace.com          

www.maxsiteth.com                  
www.my2blog.com